ยอดขายปลีกในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาลดลงท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ยอดขายปลีกในอังกฤษลดลงอย่างรวดเร็วถึง 2.7% ในเดือนพฤษภาคม พลิกกลับจากการเติบโตที่แข็งแกร่ง 1.3% ในเดือนเมษายน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงอย่างเห็นได้ชัดของยอดซื้ออาหารในร้านขายอาหาร ซึ่งแย่กว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 0.5% มาก
ยอดขายลดลง 1.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งลดลงจากยอดขาย 5.0% ในเดือนเมษายน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากสภาพอากาศแจ่มใสและการใช้จ่ายด้านอาหาร
ขณะเดียวกัน ยอดขายปลีกของสหรัฐฯ ก็ร่วงลง 0.9% ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม โดยเพิ่มขึ้นจากการลดลง 0.1% ในเดือนเมษายนซึ่งมีการแก้ไขแล้ว
แม้จะมีตัวเลขเหล่านี้ ธนาคารแห่งอังกฤษ ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% โดยอ้างถึงความเสี่ยงตลาดแรงงานและความกังวลเกี่ยวกับราคาพลังงาน ท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกล่าวว่าอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ใน “แนวโน้มลดลงอย่างช้าๆ” แม้จะไม่ได้มีการรับประกันก็ตาม
ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อ ทำเนียบขาว ประกาศว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะตัดสินใจภายใน 2 สัปดาห์ ว่าจะเข้าร่วมกองกำลังทหารกับอิหร่านหรือไม่ สหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะเปิดการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ต่อไป แต่เหตุการณ์ล่าสุดและการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยเฉพาะ ที่ฟอร์โดว์ ทำให้วิกฤตเลวร้ายลง
ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ร่วง ลงในวันศุกร์ เนื่องจากผู้ค้าตอบสนองต่อสัญญาณของสหรัฐฯ ในการหลีกเลี่ยงความตึงเครียด ความกังวลด้านอุปทานช่วยหนุนการพุ่งขึ้นของราคาในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากปริมาณสำรองของสหรัฐฯ ที่ลดลงอย่างมาก
ราคาทองคำร่วงลงเช่นกัน โดยคาดว่าจะร่วงลงเป็นรายสัปดาห์ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ลดลงทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง แม้จะมีแรงหนุนจากความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็ตาม
บทสรุป:
ตลาดโลกกำลังเผชิญกับความปั่นป่วนรุนแรงเนื่องจากยอดขายปลีกตกต่ำและความตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น ผู้ค้าและนักลงทุนยังคงระมัดระวัง โดยจับตาดูธนาคารกลางและจุดวิกฤตทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิดเพื่อดูว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางใดต่อไป